Dairy


                  


แนะวิธีการเรียนเก่ง 

                   แนะนำวิธีเรียนเก่ง
        การเรียนเก่งในที่นี้ หมายถึงเรียนเก่งกว่าเดิม กล่าวคือเมื่อนักเรียนได้รับรู้วิธีการที่จะทำให้เรียนเก่งขึ้น และปฎิบัติได้ตลอดไปนักเรียนผู้นั้นก็จะเข้าใจในบทเรียน และสอบได้คะแนนดีขึ้น การที่จะเรียนเก่งขึ้นได้นั้นต้องฝึกตนเองให้สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้คือ 
   1. การแบ่งเวลา
   2. การทำการบ้าน
   3. วิธีทบทวนบทเรียน
   4 . ห้องสมุดกับการเรียนเก่ง
   5. การดูหนังสือเตรียมสอบ
   6. การพัฒนาความจำเพื่อให้เรียนเก่ง
หากนักเรียนคนใดสามารถปฎิบัติได้ตามหลักเกณฑ์ ทั้ง 6 ข้อนี้ จะต้องมีผลการเรียนที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
© ตัวอย่างการแบ่งเวลา การทำกิจกรรมประจำวันของนักเรียน


           เวลา                กิจกรรม
   6.00 - 6.30      ตื่นนอน, ช่วยงานบ้าน
   6.30 - 7.00      กิจประจำวัน ( อาบน้ำ, แปรงฟัน,รับประทานอาหาร,แต่งตัว )
   7.00 - 8.30      เดินทางไปโรงเรียน ,อ่านหนังสือพิมพ์,สังสรรค์ในหมู่เพื่อน, ถ้ามีเวลาเหลืออ่าน

                             บทเรียนที่จะเรียนใน ชั่วโมงแรก
    8.30 - 11.30    เรียน
   11.30 -12.30   รับประทานอาหาร (ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง) เวลาที่เหลือทบทวนบทเรียน โดยวิธีถาม     - ตอบด้วยปากเปล่า โดยกระทำ เป็นกลุ่มๆละประมาณ5 - 6 คนแล้วกำหนดผู้ถามโดยให้ผู้ถามไปเตรียมคำถามจากบทเรียนวิชา ต่างๆสลับกันไปควรมีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย เพื่อให้สนุกควรมีการให้คะแนน ผู้ที่ได้คะแนน น้อยที่สุด อาจจะต้องเป็นผู้ไปรวบรวมคำถามในวันต่อไปก็ได้ (ทำให้สม่ำเสมอกันตลอดทั้งปี)
    12.30 - 15.30    เรียน
    15.30 - 17.00    เดินทางกลับบ้าน,หากใช้เวลาน้อยกว่านี้ เวลาที่เหลือบางวันเช่นวันศุกร์ ควรเล่น    กีฬาหนักประมาณ 15 - 30 นาที กีฬาที่ควรเล่นเช่น ฟุตบอล,บาสเก็ตบอล,ตะกร้อ,เนตบอลวอลเลย์บอล ปิงปอง,ห่วงยาง ฯลฯ เพื่อเป็นการ ออกกำลังกายหนัก แต่ไม่ควรเล่นมากหรือบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้สมองล้ากลับถึงบ้านไม่อยากทบทวน บทเรียน
    17.00 - 17.30   ช่วยงานบ้าน
    17.30 - 18.30   กิจประจำวัน อาบน้ำ,รับประทานอาหาร
    18.30 - 19.30  ทำการบ้าน ดูข่าวสาร เหตุการณ์บ้านเมืองประจำวัน
    19.30 - 21.00 อ่านทบทวนบทเรียน,โน้ตย่อบทเรียน
    21.00 - 06.00 นอนหลับพักผ่อน
นักเรียนสามารถปรับตารางเวลาและกิจกรรมให้เข้ากับชีวิตประจำวันที่ทำอยู่ ถ้าต้องการให้ประสบผลสำเร็จควรทำสม่ำเสมอ

   © การทำการบ้าน 
การทำการบ้านนับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากของการเรียนเพราะถือเป็นการทบทวนบทเรียนที่มีระยะเวลาค้นคว้าทำความเข้าใจกว่าเวลาในห้องเรียน มีหลักที่ควรยึดดังนี้
   1. จัดเวลาทำการบ้าน ควรจะเป็นระยะเวลา 18.00 - 21.00 น.กับครึ่งวันเช้าหรือบ่ายของวันหยุด ควรทำอย่างสม่ำเสมอจนติดเป็นนิสัย ถ้าวันใดไม่มีการบ้าน ต้องทบทวนบทเรียนแทน
   2. ตรวจดูความยากง่าย เมื่อได้รับคำสั่งจากครู อาจารย์ให้ทำการบ้าน แบบฝึกหัดใดหรือบทใด ตรวจดูอย่างคร่าวๆว่าพอทำได้หรือไม่ หากมีที่สงสัยควรถาม ครู,อาจารย์ก่อน
   3. รีบทำการบ้านอย่าทิ้งไว้นาน เมื่อได้รับการบ้านวันใดให้รีบทำให้เสร็จในวันนั้น ถึงแม้กำหนดส่งการบ้านจะเหลืออีกหลายวันยกเว้นจะได้รับการบ้านหลายวิชา จึงค่อยทำวิชาที่ต้องส่งก่อนเป็นอันดับแรก หากทำการบ้านตามเวลาที่กำหนดไว้ไม่ทันต้องทำในเวลาทบทวนบทเรียน
  4. ตรวจดูความถูกต้องก่อนส่งครู

   © การทบทวนบทเรียน 
การทบทวนบทเรียนนับเป็นกระบวนการที่สำคัญมากต่อการเรียนเพราะเป็นการเสริมความเข้าใจ และช่วยจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นควรทำดังนี้
   1.จัดเวลา ควรต่อจากการทำการบ้าน และพักกลางวันหลังจากรับประทานอาหารแล้ว หรือเวลาอื่นๆ เช่นก่อนครูเข้าสอน ,ชั่วโมงว่าง
   2. โน้ตย่อใจความสำคัญของบทเรียน การโน้ตย่อนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับดูก่อนสอบแล้วยังเป็นการทบทวนไปในตัวด้วย       เพราะการจะย่อใจความสำคัญ ได้ต้องอ่านและต้องเขียนด้วยซึ่งทำให้จำได้แม่นยำกว่า การอ่านอย่างเดียว
   3. สำหรับวิชาคำนวณ ควรย่อเฉพาะ กฎ,ทฎษฎี ,นิยาม สูตร และหมั่นทำแบบฝึกหัดที่เรียนไปแล้วเป็นการทบทวนสูตรไปด้วย
   4. อ่านโน้ตย่อทุกเวลาที่ว่างพอจะอ่านได้ เช่นเวลาเช้าเมื่อมาถึงโรงเรียนแล้วยังไม่ถึงเวลาเรียน เวลาพักกลางวัน

    © ชั่วโมงว่าง 
ห้องสมุดกับการเรียนเก่ง
ห้องสมุดนับเป็นแหล่งการความรู้ที่ใกล้ตัวนักเรียนที่สุด ตำรามากที่สุดเท่าที่นักเรียนจะหาอ่านได้ และข้อสำคัญไม่ต้องเสียเงิน และที่สำคัญเป็นการฝึกการใช้ ห้องสมุด ซึ่งนักเรียนจะต้องใช้มากในระดับการเรียนที่สูงขึ้น
   1. นักเรียนจะอ่านอะไรในห้องสมุด การเข้าห้องสมุดทุกครั้งนักเรียนควรมีเป้าหมายว่าจะเข้าไปทำไมหรือไปอ่านหนังสืออะไร เช่น
       - ค้นคว้าหาความรู้เพื่อทำงานส่งครู - อาจารย์
       - หาความรู้เพิ่มเติมจากบทเรียน
       - อ่านข่าวความรู้จากหนังสือพิมพ์
       - เลือกอ่านหนังสือที่ให้เพลิดเพลินเพื่อยืมไปอ่านที่บ้าน
    2. อ่านหนังสือห้องสมุดอย่างไรได้ประโยชน์ที่สุด
       2.1 กรณีค้นคว้าทำรายงานส่งครู - อาจารย์ ควรทำในห้องสมุด ไม่ควรยืมหนังสือไปทำบ้านเพราะอาจยืมหนังสือไปไม่ครบ             ถ้าทำในห้องสมุดสงสัยเรื่องใด ค้นคว้าได้ทันที
       2.2 การอ่านเพื่อความรู้ประกอบบทเรียน ควรมีการจดหรือย่อลงสมุดพก ซึ่งนักเรียนควรมี เป็นเล่มเล็กๆติดตัว
       2.3 การอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน เพราะจะได้แง่คิดข้อเท็จริงเปรียบเทียบได้
    3. การอ่านหนังสืออ่านเล่นมีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างไรในที่นี้หมายถึง นวนิยาย, เรื่องสั้น,สาระบันเทิง,ขำขัน
        การอ่านเรื่องอ่านเล่นนี้นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ที่เคร่งเครียดกับการเรียนและเป็นการให้ความเพลิดเพลินแล้ว         ยังมีประโยชน์อย่างมากต่อการทำงาน ในอนาคต เพราะการได้อ่านมากถึงแม้จะเป็นเรื่องอ่านเล่นก็ตาม จะทำให้นักเรียนอ่านหนังสือคล่อง         ได้เห็นแบบสำนวนมากทำให้ง่ายต่อการเขียนรายงาน จดหมายโต้ตอบ บันทึกต่างๆซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องประสบในขณะที่เข้าทำงาน
    4. ฝึกนิสัยรักการอ่านได้อย่างไร นักเรียนเป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ พูดอีกอย่างว่าไม่มีนิสัยรักการอ่าน         แต่นักเรียนก็รู้ว่าการอ่านมีประโยชน์ เมื่อเป็นดังนี้เรามาฝึกการอ่านกันดีกว่า ขอแนะนำดังนี้
        4.1 ขั้นแรกอ่านข่าวที่น่าสนใจ ถ้าไม่ชอบการอ่านเอามากๆก็อ่านแค่พาดหัวข่าวก็ได้
        4.2 ดูภาพที่สนใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักมีคำบรรยายประกอบ ซึ่งต้องอ่านประกอบความเข้าใจ
        4.3 อ่านเรื่องราวที่ชอบ เช่น เกี่ยวกับฟุตบอล,มวย,เย็บปักถักร้อย
        4.4 ทดลองอ่านนิทาน ,เรื่องสั้น,ที่ดีดีโดยอาจขอคำแนะนำจากบรรณารักษ์
       ถ้าปฎิบัติได้ตามข้างต้นอย่างน้อยก็ต้องพบเรื่องที่ชอบบ้าง และจะค่อยทำให้รักการอ่านภายหลัง แต่ถ้ายังไม่เกิดผลอะไรเลย           ก็คงต้องหาวิธีอื่นต่อไป, หรืออาจเกี่ยวกับเรื่องวัย,ภาวะของครอบครัวฯ


                         

9 เมนู...บำรุงสายตาขั้นเทพ กินก่อนสอบเริ่ดนะ







   สำหรับสารอาหารที่ที่ช่วยบำรุงสายตา ต้องยกให้วิตามินเอ เพราะมีสารลูทีนและซีแซนทีน มีหน้าที่ช่วยในการมองเห็น ซ่อมแซมผิวดวงตา ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเป็นต้อกระจกด้วย ใครที่ได้รับสารอาหารชนิดนี้จะดูออกเลยว่าเป็นคนที่ตาสวยใสเหมือนตาปลาสดในตลาด(วกเข้าของกินอีกแล้ว!!) นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแพ้แสงสว่าง เช่น เจอแสงสว่างช่วงเวลากลางวันมากๆ แล้วสู้แสงไม่ไหว เป็นต้น แถมยังช่วยเรื่องการมองเห็นในเวลากลางคืนอีกด้วย จะว่าไปแล้วคนที่ควรได้รับการบำรุงสายตา ก็คือ คนที่ต้องใช้สายตามากๆ นั่นเอง สำหรับวัยเรียนอย่างน้องๆ ก็ต้องการวิตามินเอให้เพียงพอเช่นกัน เพราะการอ่านหนังสือมากๆ เป็นปัจจัยให้สายตาเสียได้จ้า

             เห็นประโยชน์ของวิตามินเอแล้ว ไปดูเมนูที่
คัดสรรมาฝากกันดีกว่าค่ะ
     9 เมนู ดูแลสายตา ให้ใสปิ๊ง สุขภาพดี
เมนูที่ 1 ปลาซาบะ


        ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปลาซาบะก็จัดอยู่ในกลุ่มเนื้อสัตว์ที่มีวิตามินเอด้วย แม้จะไม่มากเท่ากับผักผลไม้ แต่ก็ได้ประโยชน์ เมนูของปลาซาบะก็คงไม่พ้น ปลาซาบะย่างซีอิ๊ว ใครชอบกินอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถือว่าโชคดีมากๆ กินต่อไปนะคะ

 เมนูที่ 2  แคนตาลูปนมสด


            นมสด ไม่ได้มีแต่แคลเซียมเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินเออีกด้วย แต่เข้าใจว่าน้องๆ ก็โตๆ กันแล้ว ให้มานั่งดื่มนมทุกวันก็คงไม่อร่อยเท่าเด็กๆ พี่มิ้นท์จึงขอเสนอเมนูแคนตาลูปนมสด อร่อยและได้ประโยชน์จากนมและแคนตาลูป เป็นของหวานชั้นดีหลังมื้ออาหารได้เลยนะเนี่ย

เมนู 3 น้ำแครอท


           นำเสนอเมนูทั้งคาวและหวานไปแล้ว พี่มิ้นท์ก็ไม่ลืมเมนูเครื่องดื่มค่ะ และที่เลือกมานี้ก็เป็นน้ำผักผลไม้ที่มีวิตามินเอสูงที่สุด คือ น้ำแครอท โดยมีวิตามินเอสูงถึง 22,567 IU ใครที่ยังไม่เคยกิน แนะนำให้ลองนะคะ ไม่ได้เหม็นเขียวอย่างที่คิดค่ะ

เมนูที่ 4  ไข่ตุ๋นมะเขือเทศ


 


             วิตามินเอสามารถพบมากได้นไข่แดง แต่ลำพังจะกินไข่แดงเปล่าๆ ก็กระไรอยู่ดูไม่สร้างสรรค์ซะเลย พี่มิ้นท์เลยขอแนะนำไข่ตุ๋นมะเขือเทศ โดยจะใช้เฉพาะไข่แดงนะคะ จากนั้นผสมกับน้ำซุปกระดูกหมู วิธีนี้จะช่วยให้ไข่ตุ๋นที่ตุ๋นได้เนียนและเด้งระดับภัตตาคารเลย และเพื่อให้ได้วิตามินเออีกเท่านึง ให้น้องๆ ใส่มะเขือเทศหั่นแบบลูกเต๋าเข้าไปด้วย เมื่อตุ๋นเสร็จก็โรยหน้าด้วยแครรอทหั่นฝอยอีกที อู้หู..แหล่งวิตามินเอดีๆ นี่เอง

เมนูที่ 5 ผัดผักบุ้ง/ ผัดตำลึง


            ผัดผักสีเขียว วิตามินเอสู๊งสูง สามารถเลือกทานได้ตามความชอบได้เลย ผักทั้งสองนี้มีปริมาณวิตามินเอสูงมากเลยนะคะน้องๆ แถมยังทานง่าย ราคาถูกอีกด้วย ใครไม่เคยกินลองหามาทานดูนะ 

เมนูที่ 6   มันบดชีสไข่แดง


         ขอแนะนำอีกเมนูนึง คือ มันบด วิธีทำก็ง่ายๆ เอามันไปต้มจากนั้นเอามาบด โดยขั้นตอนนี้ แนะนำให้ใส่ไข่แดงต้ม(เอาแต่ไข่แดง)ลงไปด้วย แล้วบดให้ละเอียดเข้ากัน เติมนมสดลงไปเพิ่มกลิ่นหอมและความนุ่ม เมื่อบดเสร็จแล้วโปะชีสไว้ด้านบนและเข้าเตาอบให้ชีสละลาย เมนูนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอที่ได้จาก ไข่แดง นม และชีส ดีและอร่อยแบบนี้ ทำเองก็ได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปซื้อให้แพงแล้ว

เมนูที่ 7 ฟักทองสังขยา

          เหลืองซะให้เข็ด ต้องฟักทองสังขยา ตัวฟักทองเป็นผักที่มีวิตามินเอสูง ส่วนสังขยาก็ทำมาจากไข่แดง มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาเช่นกัน เมนูนี้ทำเองอาจจะลำบากหน่อย ที่สำคัญกินคนเดียวทั้งลูกสายตาดี แต่ก็เสี่ยงอ้วนได้ง่ายๆ แนะนำให้ไปซื้อที่ตลาดดีกว่า กิน 1 ชิ้น กำลังดี นอกจากความนี้ความหวานยังช่วยให้เราอารมณ์ดีด้วยนะคะ

 เมนูที่ 8  สลัดผักสีสด


           เป็นความรู้ที่ติดมาตั้งแต่ประถมว่าวิตามินจะอยู่ในอาหารที่มีสีเขียว สีเหลืองและสีส้ม ดังนั้นเมนูนี้ง่ายมาก แค่เอาผักและผลไม้เหล่านั้นมาทำเป็นสลัดเลย สำหรับผักผลไม้ที่แนะนำ ได้แก่ แครอท มะเขือเทศ ข้าวโพด ฟักทอง บร็อคโคลี่ แคนตาลูป ราดด้วยน้ำสลัดตามรสชาติที่ชอบ รับรองเด็ดมาก พูดแล้วน้ำลายจะไหล 
 เมนูที่ 9  ผัดตับกับเนื้อ


         จะผัดกับน้ำมันหอย หรือ ผัดพริกแกงก็ได้ ตับหมู ตับไก่มีวิตามินเอสูงมาก ส่วนเนื้อก็มีวิตามินเอสูงเช่นกัน เอามาผัดกินด้วยกันแล้วล่ะก็ ได้คุณค่าวิตามินเอเต็มๆ แต่ถ้าใครไม่กินเนื้อเปลี่ยนมาเป็นไก่ก็ได้นะคะ ซึ่งวิตามินเอที่ได้จากสัตว์จะดูดซึมได้ดีกว่าจากพืช เพราะเป็นชนิด Retinol สามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีไม่ต้องเปลี่ยนแปลงในร่างกายก่อน ใครกลัวไม่ได้เกลือแร่ใส่ผักคะน้า หรือ ผักอะไรก็ได้ตามใจชอบจ้า

  เป็นยังไงกันบ้างกับ 9 เมนูนี้ นอกจากจะช่วยบำรุงสายตาแล้ว ยังเป็นเมนูของคนรักสุขภาพเกือบทั้งหมดเลย แต่ลำพังจะกินแค่อย่างละครั้งคงไม่ได้ผลนะคะ ต้องกินเป็นประจำถึงจะเห็นผลและจะมีผลระยะยาวด้วย   ช่วงสอบแบบนี้ใครรู้ตัวว่าอ่านหนังสือหนัก ก็ลองหาเมนูทั้ง 9 อย่างนี้มาบำรุงสายตากันนะคะ





————- 15 ข้อคิดดีๆ รักษาจิตใจ ————-





        1. คนเรามีความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ เศร้า ไม่ต่างกัน
      ขึ้นอยู่กับว่าเวลา ไหนมันจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดเท่านั้น ”คนที่จะหัวเราะได้เสียงดัง  ข้างในคงต้องขำบ้างพอสมควร คนที่น้ำตาจะไหลได้   ข้างในคงมีเรื่องปวดร้าว ….ถ้าไม่นับการร้องไห้ที่มาจากความปิติ ”
     
       2.โลกสอนมนุษย์ว่าทุก สิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง…แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน

      3.  คนที่ตลกหัวเราะสดใส ก็คือคนเดียวกับคนที่สามารถร้องไห้ฟูมฟายได้เพียง แต่คุณจะได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้น อาจจะเคยได้ยินว่า ”  คนที่หัวเราะได้ ดังที่สุด ก็คือคนที่สามารถร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน”


      4. เด็กๆ  จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า เด็กไร้สาระ  เพราะเด็ก ไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่าทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส  สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้วอาจจะลืมไปว่า ณ วันที่ผ่านมา”  สาระ”ใน ชีวิตของเขา คืออะไร


      5.  ครอบครัวไทยมักจะเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นฝ่ายถูกเลือก  คอยสั่งสอนให้ทำ ตัวเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเลือกไปเป็นคู่ครอง…. แต่ความจริง แล้วผู้ชายและผู้หญิง เราต่างเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า


      6.  เพื่อนที่ดีที่สุด  คือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันซักคำ  แต่ สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด


      7.ใคร หลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับเพื่อนเพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอก เคา ยังไงเพราะเราเป็นแค่เพื่อน….แต่ความจริงแล้วคุณเป็นตั้งเพื่อนต่างหาก


      8.  ผู้ชายที่ร้องไห้ และยอมรับว่าตัวเองร้องไห้เขาคือสุภาพบุรุษที่สุด อย่าง น้อยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง… คือความกล้าหาญสุดยอด


      9.  ก่อนที่วันนี้ คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ   อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อน ว่า  ในช่วงเวลาที่ผ่านมา… ทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า


     10.  เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น


     11. มีสติ  สตางค์อยู่ ก็ปลีกเวลาไปใช้เสียบ้าง อีกหน่อยไม่มีสติแต่มีสตางค์…ก็ สายไปเสียแล้ว


     12. เวลาที่เรารักใคร เราจะรู้สึกตัวเล็กเ  หลือเกิน…เวลาใครรักเรา เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน…แต่ถ้าเราเจอคน ที่เรารักเขาและเขาก็รักเรา  เราจะผลัดกันตัวเล็กตัวใหญ่


     13.  วันที่คุณเข้มแข็งและแข็งแรงพอ อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับคนที่มี ปัญหาด้วย “เอาไหล่ให้เขาพิง

เอามือให้เขาจับ”…..100 คำพูดดี ดี  ไม่เท่ากับ 1 สัมผัสที่มีค่าหรอกนะ

     14. คุณรู้ไหมว่า  อายุคนเราเฉลี่ย 76 ปีนั่นคือแค่ 3,952  อาทิตย์เท่านั้นคุณหมดเวลาไปกับ การนอนถึง 1317 อาทิตย์   ซึ่งเท่ากับว่าคุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่  2,635 อาทิตย์เท่านั้นเอง



     15. ลองฉลองวันเกิดกับครอบครัวสักปี  แล้วคุณจะได้รู้ว่า   เมื่อตอนที่คุณร้องไห้จ้าในวันเกิดวันแรก
คนใน ครอบครัวคุณมีความสุขกันขนาดไหน…….



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น